สวัสดีครับกับ ผู้ใช้งานบอททุกท่าน ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหลายคนสร้างผลตอบแทนจากตลาดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากตลาดค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะ บิทคอยน์ และ ETH แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่หลายคนสงสัยและถามกันเข้ามากมายครับว่า บอทเทรดบางตัวนั้นมักมีคำนำหน้าว่า Spot ในขณะที่บอทบางตัวใช้คำว่า Future ตรงนี้มันแตกต่างกันอย่างไร และหากเราเลือกใช้งาน บอทเทรดทั้งสองประเภทนี้จะทำงานอย่างไร
ผมคิดว่าคำถามนี้น่าสนใจมากครับ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มต้นใช้งานบอทเทรดใหม่ ที่อาจเลือกใช้งานผิดวัตถุประสงค์ได้ ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผมขออนุญาต ทำความเข้าใจระหว่าง Spot กับ Future ในบอทเทรดว่า เป็นอย่างไร และมีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อช่วยให้คุณเลือกใช้งานได้อย่างถูกต้อง โดยเริ่มจากความหมายเป็นอันดับแรก
Spot Trading Bot คืออะไร
Spot trading bot (บอทเทรดแบบสปอต) หมายถึง บอทเทรดที่ทำงานในตลาดสปอต ซึ่งเป็นตลาดที่การซื้อขายจะเกิดขึ้นและเสร็จสิ้นทันทีที่ทำการซื้อขาย (spot market)
นั่นคือเมื่อซื้อหรือขายเหรียญ บอทจะทำการแลกเปลี่ยนเหรียญทันทีตามราคาตลาดหรือราคาที่ผู้ใช้งานกำหนด บอทเทรดแบบสปอตใช้สำหรับการซื้อขายเหรียญคริปโตที่มีอยู่จริงในบัญชีของผู้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้งานจะครอบครองเหรียญหลังจากซื้อเสร็จสิ้น เช่น เมื่อซื้อ BTC ผ่านบอท ผู้ใช้งานจะได้รับ BTC เข้ามาในบัญชีของตน
ตัวอย่าง Spot Trading Bot
ตัวอย่างของบอทเทรดแบบสปอตที่เป็นที่นิยมคือ Pionex Spot Grid Bot ซึ่งเป็นบอทที่ทำงานในตลาดสปอตโดยการซื้อและขายคริปโตตามราคาที่เปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผู้ใช้งานกำหนด บอทนี้จะสร้างคำสั่งซื้อและขายหลายรายการในกรอบราคาที่กำหนด เพื่อให้สามารถทำกำไรจากความผันผวนของราคาคริปโตได้ โดยการซื้อในราคาต่ำและขายในราคาที่สูงกว่าในกรอบนั้น
ตัวอย่างการทำงาน
- ผู้ใช้งานตั้งกรอบราคา เช่น ระหว่าง $30,000 ถึง $35,000 สำหรับ BTC
- เมื่อราคาตกลงไปในกรอบที่ตั้งไว้ บอทจะทำการซื้อ และเมื่อราคาขึ้นในกรอบ บอทจะทำการขาย
- ผลลัพธ์คือการทำกำไรเล็กน้อยในแต่ละรอบของการขึ้นลงของราคา
Future Trading Bot คืออะไร
Future trading bot (บอทเทรดแบบฟิวเจอร์) หมายถึง บอทเทรดที่ทำงานในตลาดฟิวเจอร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (future contract) ที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น BTC, ETH
โดยในตลาดฟิวเจอร์ ผู้ใช้งานสามารถใช้เลเวอเรจ (leverage) เพื่อเปิดสถานะการซื้อขายได้สูงกว่ามูลค่าที่มีจริง และสามารถทำกำไรได้ทั้งจากตลาดขาขึ้น (long) หรือขาลง (short) บอทจะช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดหรือปิดสถานะตามกลยุทธ์ที่กำหนด บอทเทรดฟิวเจอร์มีความซับซ้อนกว่าเพราะต้องคำนึงถึงการจัดการความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากความผันผวนและเลเวอเรจ
ตัวอย่าง Future trading Bot
ตัวอย่างของ Future trading bot (บอทเทรดแบบฟิวเจอร์) ที่เป็นที่นิยมคือ Binance Futures Grid Bot ซึ่งเป็นบอทที่ช่วยให้ผู้ใช้งานซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์โดยอัตโนมัติตามกรอบราคาที่กำหนด บอทนี้ออกแบบมาเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ โดยสามารถเปิดทั้งสถานะ long (ทำกำไรจากราคาขึ้น) และ short (ทำกำไรจากราคาลง) พร้อมทั้งใช้เลเวอเรจ (leverage) เพื่อเพิ่มมูลค่าของการซื้อขาย
ตัวอย่างวิธีการทำงาน
- ผู้ใช้งานกำหนดกรอบราคา เช่น $31,000 ถึง $36,000 สำหรับ BTC และตั้งค่าเลเวอเรจ เช่น 10x
- เมื่อราคาของ BTC อยู่ในกรอบนี้ บอทจะเปิดสถานะ long เมื่อราคาตก และปิดสถานะ long เมื่อราคาขึ้น ทำกำไรจากส่วนต่างราคา
- ในทางกลับกัน บอทจะเปิดสถานะ short เมื่อราคาขึ้นไปใกล้จุดสูงสุด และปิดสถานะเมื่อราคาตก ทำกำไรจากราคาที่ลง
ทีนี้เราลองนำบอทเทรดทั้งสองแบบมาเปรียบเทียบความแตกต่างกัน จะได้ข้อมูลตามตารางด้านล่างดังต่อไปนี้ครับ
ตารางเปรียบเทียบ Spot และ Future บอทเทรด
คุณสมบัติ | Spot Bot | Future Bot |
---|---|---|
ประเภทตลาด | ตลาดสปอต (ซิ้อขายทันที) | ตลาดฟิวเจอร์ (ซื้อขายสัญญาล่วงหน้า) |
การใช้ Leverage | ไม่มีการใช้ | ใช้ได้ เช่น 5x, 10x |
การครอบครองทรัพย์สิน | เป็นเจ้าของเหรียญ | เป็นเจ้าของสัญญา |
โอกาสทำกำไร | ทำกำไรแบบซื้อถูกขายแพง | ทำกำไร ทั้งขาขึ้น (Long) และลง (Short) |
ระดับความเสี่ยง | ต่ำกว่าฟิวเจอร์ | สูงกว่าสปอต |
โอกาสล้างพอร์ต | น้อยมากเกือบ 0% | สูงมากเกือบ 100% |
ถ้าไม่อยากล้างพอร์ตอย่าใช้ Future
การที่ไม่อยากล้างพอร์ตแต่ยังคงสนใจในการใช้ Future ในการซื้อขาย เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพราะ Future trading หรือการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์เป็นการซื้อขายที่มีความเสี่ยงสูงกว่า Spot trading หลายประการ สาเหตุที่หลายคนกล่าวว่า “ถ้าไม่อยากล้างพอร์ต อย่าใช้ Future” มีเหตุผลหลักดังนี้
ใน Future trading ผู้ซื้อขายสามารถใช้เลเวอเรจเพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขายเกินกว่าทุนที่มีอยู่จริง เช่น หากมีเงินทุน 100 ดอลลาร์ แต่ใช้เลเวอเรจ 10x ก็สามารถเปิดสัญญาซื้อขายที่มีมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ได้ การใช้เลเวอเรจนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างมหาศาล แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าราคาผิดไปจากที่คาดแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ใช้เลเวอเรจสูงอาจต้องเสียทุนทั้งหมดอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ล้างพอร์ต” หรือการสูญเสียเงินทุนทั้งหมดในบัญชี
อีกทั้ง ตลาดฟิวเจอร์มีความผันผวนสูง ซึ่งสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่รุนแรงในระยะเวลาสั้นมาก การเปิดสัญญาทั้ง Long (คาดว่าราคาจะขึ้น) หรือ Short (คาดว่าราคาจะลง) อาจทำให้ผู้ซื้อขายเสี่ยงต่อการขาดทุนมาก หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้าม การใช้เลเวอเรจในตลาดที่ผันผวนมากเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ใช้งาน เพราะการแกว่งของราคาเล็กน้อยอาจส่งผลให้พอร์ตของคุณถูกล้างได้
การบังคับปิดสถานะหรือการถูก Liquidate เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อทุนในบัญชีซื้อขายของผู้ใช้งานไม่เพียงพอที่จะรักษาสัญญาฟิวเจอร์ได้ หากราคาตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและทำให้เกิดการขาดทุนจนเกินทุนที่มีอยู่ ระบบจะบังคับปิดสถานะเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งานอาจสูญเสียเงินทั้งหมดที่ลงทุนไป
การใช้ Future bot หรือการเทรดฟิวเจอร์ทั่วไปต้องการการจัดการความเสี่ยงที่ซับซ้อนกว่าการเทรดในตลาด Spot การกำหนด Stop-loss เพื่อจำกัดการขาดทุนเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดและมีแผนการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ถึงแม้ว่าจะวางแผนการจัดการความเสี่ยงดีเพียงใด ความผันผวนที่ไม่คาดคิดอาจทำให้เกิดการขาดทุนที่เกินควบคุมได้
ด้วยเหตุนี้ Future trading จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์สูงในการเทรด ซึ่งสามารถวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมืออาชีพ ผู้ที่ยังใหม่ต่อการเทรดหรือยังไม่มีความชำนาญในการวางแผนกลยุทธ์อาจพบว่าการใช้ Future จะทำให้พอร์ตสูญเสียอย่างรวดเร็ว
หากไม่อยากล้างพอร์ต การหลีกเลี่ยงการใช้ Future trading อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า การเทรดในตลาด Spot ที่ไม่มีการใช้เลเวอเรจสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้น แต่ถ้าคุณยังต้องการทดลอง Future trading ควรเริ่มด้วยเงินทุนจำนวนน้อย ใช้เลเวอเรจต่ำ และศึกษาการจัดการความเสี่ยงอย่างละเอียดเพื่อป้องกันการล้างพอร์ตนะครับ